การจัดการความรู้ KM : KNOWLEDGE MANAGEMENT |
|
ความรู้ คือ สิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้าหรือประสบการณ์ รวมทั้ง ความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะ ความเข้าใจหรือสารสนเทศที่ได้รับมา จากประสบการณ์ สิ่งที่ได้รับมาจากการ ได้ยิน ได้ฟัง การคิดหรือการปฏิบัติ (คำนิยามจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542) |
|
|
|
ประเภทของความรู้ | |
ความรู้ที่ชัดแจ้ง(Explicit Knowledge) เป็นความรู้แบบรูปธรรม ความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคน(Tacit Knowledge) เป็นความรู้แบบนามธรรม |
|
การจัดการความรู้ (Knowledge Management, KM) คือ การรวบรวม สร้าง จัดระเบียบ แลกเปลี่ยน และประยุกต์ใช้ความรู้ในองค์กร โดยพัฒนาระบบจากข้อมูลไปสู่สารสนเทศ เพื่อให้เกิดความรู้และปัญญา รวมทั้งเพื่อประโยชน์ในการ นำไปใช้และเกิดการเรียนรู้ภายในองค์กร |
|
ทำไมต้องมีการจัดการความรู้ | |
1. เมื่อมีบุคลากรเกษียณหรือลาออก มักมีผลกระทบต่องาน 2. เวลามีปัญหาในการทำงาน ไม่ทราบว่าจะไปถามผู้ที่เก่งในเรื่องนั้นได้ที่ไหน 3. มีผู้ทรงความรู้มาก แต่คนในองค์กรไม่สนใจในการเพิ่มและแบ่งปันความรู้ 4. องค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ไม่ได้ถูกนำมาใช้แลกเปลี่ยน ต่อยอดความรู้ใหม่แต่เป็นการทำงานซ้ำกับคนอื่นที่ได้ทำมาแล้ว 5. องค์กรมีการสร้าง/แลกเปลี่ยน/ประยุกต์ใช้ความรู้ไม่เป็นระบบ 6. การตัดสินใจมักกระทำโดยไม่ใช้ความรู้ที่ดีที่สุดที่มีอยู่ภายในองค์กร 7. มีข้อมูล+สารสนเทศท่วมท้น แต่ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง |
|
หลักสำคัญของการจัดการความรู้ |
|
- ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจาก Tacit Knowledge เป็น Explicit Knowledgeให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดความรู้และประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร - บริหารจัดการให้คนที่มี Tacit Knowledge ถ่ายทอด ออกมาสู่คนอื่นๆ ที่ต้องการความรู้นั้นด้วยวิธีการอย่างเป็นระบบ เช่น เอกสารคู่มือ/สื่อรูปแบบต่างๆ หรือการสอนงานแบบเป็นพี่เลี้ยง/การถ่ายทอด แลกเปลี่ยนความรู้ |
|
โมเดลปลาทู |
|
|
|
1. ส่วน "หัวปลา" (Knowledge Vision- KV) หมายถึง ส่วนที่เป็นเป้าหมาย วิสัยทัศน์ หรือทิศทางของการจัดการความรู้ โดยก่อนที่จะทำจัดการความรู้ ต้องตอบให้ได้ว่า "เราจะทำ KM ไปเพื่ออะไร ?" โดย "หัวปลา" นี้จะต้องเป็นของ "คุณกิจ" หรือ ผู้ดำเนินกิจกรรม KM ทั้งหมด โดยมี "คุณเอื้อ" และ "คุณอำนวย" คอยช่วยเหลือ 2. ส่วน "ตัวปลา" (Knowledge Sharing-KS) เป็นส่วนของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญ ซึ่ง "คุณอำนวย" จะมีบทบาทมากในการช่วยกระตุ้นให้ "คุณกิจ" มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความรู้ โดยเฉพาะความรู้ซ่อนเร้นที่มีอยู่ในตัว "คุณกิจ" พร้อมอำนวยให้เกิดบรรยากาศในการเรียนรู้แบบเป็นทีม ให้เกิดการหมุนเวียนความรู้ ยกระดับความรู้ และเกิดนวัตกรรม 3. "ส่วน "หางปลา" (Knowledge Assets-KA) เป็นส่วนของ "คลังความรู้" หรือ "ขุมความรู้" ที่ได้จากการเก็บสะสม "เกร็ดความรู้" ที่ได้จากกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ "ตัวปลา" ซึ่งเราอาจเก็บส่วนของ "หางปลา" นี้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น ICT ซึ่งเป็นการสกัดความรู้ที่ซ่อนเร้นให้เป็นความรู้ที่เด่นชัด นำไปเผยแพร่และแลกเปลี่ยนหมุนเวียนใช้ พร้อมยกระดับต่อไป |
|
แนวทางการจัดการความรู้ |
|
ใช้วิธีการง่ายๆ ก่อน แล้วค่อยขยายไปใช้วิธีการ ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญคือ ต้องให้เกิด การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Knowledge Sharing, KS) 1. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากวิธีการทำงานแบบ Best Practice (ผลงานที่มีผลสัมฤทธิ์สูง มีประสิทธิภาพสูง หรือมีคุณภาพสูง) 2. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชุมชนนักปฏิบัติ (Community of Practice, CoP) |
|
การดำเนินการจัดการความรู้ |
|
- กำหนดเป้าหมาย (Desired State) ให้ชัดเจน โดยพิจารณาจากยุทธศาสตร์ หรือจากปัญหาขององค์กร - วางแผนการจัดกิจกรรม โดยใช้ วงจรการจัดการ ความรู้ (Change Management Process) - จัดทำกระบวนการจัดการความรู้ (KM Process)
|
|
Change Management Process | |
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทำให้คนในองค์กรอยากเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับความรู้ - การสื่อสาร ทำให้ทุกคนเข้าใจว่า ทำอะไร เพื่ออะไร ทำเมื่อไร ทำอย่างไร - กระบวนการและเครื่องมือ จัดทำกระบวนการจัดการความรู้ (KM Process) - การให้ความรู้เรื่องการจัดการความรู้ให้กับคนในองค์กรในรูปแบบและสื่อต่างๆ ในทุกโอกาสอย่างต่อเนื่อง - การวัดผล การดำเนินการตามแผน ผลผลิตและผลลัพธ์ที่ได้ - การยกย่องชมเชยและให้รางวัล เพื่อเป็นแรงจูงใจให้คนในองค์กรสนใจ การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาคน พัฒนางาน และพัฒนาองค์กร |
|
การจัดทำ KM Process |
|
1. บ่งชี้ความรู้ 2. การสร้างและแสวงหาความรู้ 3. การประมวลและกลั่นกรองความรู้ 4. การจัดความรู้ให้เป็นระบบ 5. การเข้าถึงความรู้ 6. การแลกเปลี่ยนแบ่งปันความรู้ 7. การเรียนรู้ |
|
บุคคลสำคัญในดำเนินการจัดการความรู้ |
|
1. ผู้บริหารสูงสุด (Chief Executive Officer-CEO) เป็นผู้ผลักดันให้เกิดการจัดการความรู้ในองค์กรอย่างจริงจัง และกำหนดตัวบุคคลที่ทำหน้าที่เป็น “คุณเอื้อ” 2. คุณเอื้อ (Chief Knowledge Officer-CKO) กำหนดตัว “คุณอำนวย” และร่วมกันกำหนดเป้าหมายหรือหัวปลา ในระดับของ “คุณกิจ” เชื่อมโยงหัวปลาเข้ากับวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย และยุทธศาสตร์ขององค์กร จัดวัฒนธรรมการเรียนรู้ แนวราบ และการบริหารงานแบบเอื้ออำนาจ (Empowerment) ร่วม แลกเปลี่ยนแบ่งปันทักษะและการเรียนรู้ เพื่อให้ “คุณกิจ” เห็นคุณค่า ติดตามให้คำแนะนำ และแสดงความชื่นชม ยกย่องในความสำเร็จ 3. คุณอำนวย (Knowledge Facilitator-KF) เป็นผู้คอยอำนวยความสะดวก ช่วยจุดประกายความคิด และเป็นนัก เชื่อมโยงระหว่างผู้ปฏิบัติ “คุณกิจ”กับผู้บริหาร “คุณเอื้อ” จัดให้มีเวทีและพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเก็บรวบรวมขุมความรู้ เช่น ใช้ระบบ IT ส่งเสริมให้เกิดชุมชนนักปฏิบัติ (CoP) และสร้าง เครือข่ายการจัดการความรู้และการเรียนรู้ระหว่างองค์กร 4. คุณกิจ (Knowledge Practitioner-KP) เป็นผู้ปฏิบัติงาน เป็นผู้ดำเนินกิจกรรมการจัดการความรู้ ประมาณร้อยละ 90-95 ของทั้งหมด เป็นผู้ที่มีความรู้ และเป็นผู้ที่ต้องมาแลกเปลี่ยนแบ่งปันความรู้ และการเรียนรู้ร่วมกัน 5. คุณประสาน (Network Manager) คอยประสานเชื่อมโยงเครือข่ายการจัดการความรู้ระหว่างหน่วยงานให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในวงกว้างขึ้น |
|
ผลของการจัดการความรู้ |
|
1. ผลสัมฤทธิ์ของงานดีขึ้น หรือได้นวัตกรรมใหม่ 2. บุคลากร เกิดการพัฒนาการเรียนรู้ เกิดชุมชน การเรียนรู้ 3. ความรู้ของบุคคลและองค์กร มีการจัดระบบและ สั่งสมไว้พร้อมที่จะนำไปใช้ประโยชน์ 4. องค์กร มีสภาพเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ มีความ เข้มแข็ง สามารถแข่งขันกับองค์กรอื่นได้ |
|
ประโยชน์ของการจัดการความรู้ |
|
1. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร 2. ป้องกันการสูญหายของภูมิปัญญา 3. เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและการอยู่รอด 4. เกิดการพัฒนาคนและองค์กรเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ 5. เพิ่มขีดความสามารถในการตัดสินใจและวางแผน ดำเนินการได้รวดเร็ว 6. เพิ่มความกลมเกลียวในหน่วยงาน 7. เพิ่มคุณค่า และมูลค่าให้กับองค์กร 8. เปลี่ยนวัฒนธรรมอำนาจในแนวดิ่งไปสู่วัฒนธรรมความรู้ในแนวราบ ทุกคนมีสิทธิในการเรียนรู้เท่าเทียมกัน |
|